นิทานพื้นบ้าน 6 เรื่อง
นานมาแล้ว มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มี ตา
ยาย ลูกสาว ลูกเขยครอบครัวนี้ ทำนาทำสวน ปลูกกล้วย
มีกล้วยน้ำว้า กล้วยตานี ครอบครัวนี้มีฐานะดี ไม่ยากไม่จน
พอมีอยู่มีกิน
ไม่เดือดร้อนอะไร
มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ทำบุญทำทานทุกวัน
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกได้กล้วยสุก ลูกใหญ่สวย ๒
หวี
และจะเอาใส่ตะกร้าไปวัด ยายกับตา
เห็นเข้าก็เลยอยากจะกินกล้วยสุก และก็ได้ขอลูกกิน
แต่ลูกบอกว่า “ให้พ่อกับแม่กินไม่ได้หรอก
ถ้ากินก่อนพระมันจะบาป”
พอไปถึงวัด
ก็เอากล้วยไปประเคนพระ
แต่พระก็ไม่รับประเคน พระถามว่า “โยมได้ประเคนพระที่บ้านโยมหรือยัง” โยมตอบว่า “ที่บ้านหนูไม่มีพระหรอกค่ะ เพราะไม่เคยซื้อไว้” พระเลยให้กลับไปดูและบอกว่ามีพระอยู่
๒ รูป
โยมก็เลยเอากล้วยกลับไปบ้านอีก
มาหาพระทั้งข้างบนข้างล่างบ้าน
หาจนทั่วก็ไม่เห็นพระกล้วยสุกที่อยู่ในตะกร้า มันสุกมาก
ก็เลยหลุดจากหวี ๒ ผล ก็เลยเอากล้วยสุกนั้นให้พ่อกับแม่กินคนละผล
หลังจากนั้นก็กลับไปที่วัด พระถามโยมว่า “ไม่เห็นพระรึ” โยมตอบว่า “ไม่เห็นหรอก” แล้วพระก็ถามว่า “อ้าว ! แล้วกล้วยหายไปไหน
๒ ผล หล่ะ” โยมตอบว่า “ก็กล้วยมันหลุดออกจากหวี หนูเลยเอาให้พ่อกับแม่กินคนละผล เพราะว่าแกอยากจะกิน” พอพระถามเสร็จก็เลยรับประเคนกล้วย แล้วพระก็บอกว่า “นั่นแหละ
พระ ๒ รูปที่อาตมาบอก พ่อ แม่ คือพระอยู่ในบ้าน ทีนี้ถ้าโยมมีอะไรหรือได้อะไร ก็ให้ประเคนพระ ๒ รูปที่บ้านก่อน ให้ท่านกินให้อิ่มก่อนถึงจะได้บุญ”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พ่อ แม่ ในบ้านก็คือ พระอยู่ในบ้าน เราอยู่เราต้องกราบ ไหว้ ชีวิตของเราจึงจะเจริญก้าวหน้า ทำมาหากินก็ไม่ยาก จำไว้นะพี่น้องทุกคน อย่าลืมพระในบ้าน ดูแลท่านให้ดี ให้อยู่ดีกินอิ่ม ให้ท่านได้อยู่กับเรานานๆ ก่อนนอน หรือก่อนไปไหนมาไหน ก็อย่าลืมกราบพระในบ้าน เพื่อให้ชีวิตของเรามีแต่ความสุข ความเจริญต่อไปข้างหน้า แล้ววันนี้หล่ะ พวกเรากราบพระกันหรือยัง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พ่อ แม่ ในบ้านก็คือ พระอยู่ในบ้าน เราอยู่เราต้องกราบ ไหว้ ชีวิตของเราจึงจะเจริญก้าวหน้า ทำมาหากินก็ไม่ยาก จำไว้นะพี่น้องทุกคน อย่าลืมพระในบ้าน ดูแลท่านให้ดี ให้อยู่ดีกินอิ่ม ให้ท่านได้อยู่กับเรานานๆ ก่อนนอน หรือก่อนไปไหนมาไหน ก็อย่าลืมกราบพระในบ้าน เพื่อให้ชีวิตของเรามีแต่ความสุข ความเจริญต่อไปข้างหน้า แล้ววันนี้หล่ะ พวกเรากราบพระกันหรือยัง
มีอยู่วันหนึ่ง เสือกับช้างมาพบกัน เสือก็บอกช้างว่า “ข้าใหญ่กว่าเอ็ง เอ็งเล็กกว่าข้า” ส่วน
ช้างก็บอกว่า
“ข้าต่างหากที่ใหญ่กว่าเอ็ง” และแล้วก็ตัดสินกันไม่ได้ซักที เลยพากันไปหาพี่กระต่าย ช้างบอกพี่กระต่ายว่า “เสือมันใหญ่กว่าผม
เสือเลยให้ผมมาหาพี่กระต่าย”
กระต่ายก็ไม่รู้จะตัดสินอย่างไรดี เลยให้เสือกับช้างวิ่งผ่านหมู่บ้านแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ใครวิ่งก่อน ก็เลยใช้วิธีชูโป้งหาผู้ชนะ ช้างชนะเสือ
ช้างก็เลยได้วิ่งก่อน
พอช้างวิ่งผ่านหมู่บ้าน ก็มีเด็กเล่นอยู่เต็มถนน พ่อแม่ก็พากันตะโกนบอกลูกๆว่า “ หลบ ! หลบ!
หลบ! ช้างมาแล้ว เดี๋ยวถูกช้างเหยียบตายหมด” พอช้างพ้นหมู่บ้านไปแล้ว ก็เดินกลับไปบอกพี่กระต่าย พี่กระต่ายถามว่า “เอ็งวิ่งตะกี้
เขาพากันว่าอะไรบ้าง” ช้างก็บอกพี่กระต่ายว่า “หลบ ! หลบ! หลบ! ช้างมาแล้ว
เดี๋ยวถูกช้างเหยียบตายหมด”
พอให้เสือวิ่งบ้าง พ่อ แม่
ก็บอกลูกว่า “หลบ!
หลบ! หลบ! เสือใหญ่นะ เดี๋ยวถูกเสือกินหมดเน้อ!” พอเสือวิ่งไปพ้นหมู่บ้านก็เดินกลับไปบอกพี่กระต่ายว่า
“หลบ! หลบ! หลบ! เสือใหญ่นะ เดี๋ยวถูกเสือกินหมดเน้อ!”
พี่กระต่ายก็เลยตัดสินตามชาวบ้านให้เสือชนะ ช้างเสียใจก็เลยเดินร้องให้ “ข้าใหญ่กว่ามัน แต่ทำไมบอกว่ามันใหญ่กว่าข้า”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “สิ่งที่เราบอกว่าแน่นอน
มันก็ไม่แน่นอน” แล้วก็อย่าอวดตัวเองว่าใหญ่เดี๋ยวก็จะเหมือนช้างกับเสือ
งูเก็งก็อง
มีชายคนหนึ่งเป็นหม้ายมีลูกสาว
๑ คน อายุประมาณ ๑๑ ปี อาชีพเดินทางขายล้อเกวียน ๒-๓ ปี จึงกลับบ้านครั้งหนึ่ง กลับมาแต่ละครั้งก็พักอยู่ ๒-๓ เดือน
จึงเดินทางไปค้าขายอีก
สามปีก่อนแกแต่งงานใหม่กับหญิงคนหนึ่ง ทิ้งลูกให้อยู่กับแม่เลี้ยง เมื่อสามีไม่อยู่ เพราะเดินทางไปค้าขายเป็นเวลานาน แม่เลี้ยงจึงแอบเป็นชู้กับงูใหญ่
(สมัยก่อนงูและสัตว์อื่นๆบางชนิดพูดภาษาคนได้ตามตำนานพื้นบ้าน)
ทุกคืนนางจะใช้ให้ลูกเลี้ยงไปเรียกชู้งูที่ป่าหม่อนหลังบ้านมา
เด็กคนนี้กลัวงูใหญ่มากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำตามคำสั่งของแม่เลี้ยงเรื่อยมา คืนนี้
ก็เช่นกันนางไปที่ป่าหม่อนแล้วร้องเรียกงูว่า
สิ้นเสียงเรียก งูใหญ่ออกมาเลื้อยขึ้นบ้านไปหาแม่เลี้ยง เช้ามืดจึงกลับเข้าป่า เด็กหญิงหวาดกลัวงูจนร่างกายผ่ายผอม
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนแม่เลี้ยงตั้งท้องแก่ใกล้คลอด จู่ๆพ่อของเด็กหญิงก็กลับคืนบ้านก่อนกำหนด วันนั้นเป็นวันที่แม่เลี้ยงท้องแก่ไม่อยู่ เอาฟืมทอผ้าไปคืนเพื่อนบ้านที่ยืมมา
เมื่อพ่อเห็นลูกตัวผ่ายผอมผิดสังเกตจึงถามสาเหตุ เด็กหญิงเล่าเรื่องทั้งหมดบอกพ่อ พ่อได้ยินดังนั้นก็ลับมีดเตรียมไว้ บอกลูกให้เรียกงูให้ เมื่อลูกเรียกงูใหญ่ออกมา พ่อที่แอบซุ่มรอจังหวะอยู่แล้วก็ฟันฉับที่คองูใหญ่ขาดกระเด็น แกตัดเอาหัวและหางแยกเก็บไว้ หางแขวนไว้ที่กิ่งพุทราหน้าบ้าน หัวเก็บไว้บนขื่อ ส่วนเนื้อได้แร่แล้วสับแกงคั่วไว้หม้อใหญ่
เมื่อเมียท้องแก่กลับมาบ้านเห็นสามีเข้าก็ตกใจ แต่กลบเกลื่อนไว้ทั้งที่ตัวเองท้องแก่และแสร้งทำดีใจยิ้มแย้มทักทายที่สามีกลับมาและถามว่า “นี่พ่อมันกลับมาบ้านคราวนี้มีอะไรมาฝากบ้าง” สามีตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกนอกจากแกงคั่วเนื้อในหม้อบนเตา”
เมื่อได้ฟังดังนั้น นางก็รีบตรงตักแกงเนื้อกินด้วยความหิว ระหว่างที่นั่งกินอยู่นั้น อีกาได้บินมาเกาะบนต้นพุทรา และร้องว่า
“กา กา กา หางอยู่บนกิ่งพุทรา หัวอยู่บนขื่อ
อี กินผัวตัวเอง”
อีการ้องอยู่อย่างนี้หลายครั้งจนนางเอะใจ เหลือบดูที่กิ่งพุทราหน้าบ้านก็เห็นหางงู ดูที่ขื่อบ้านก็เห็นหัวงู นางตกใจมากและรู้ทนทีว่ากินเนื้อผัวงูตัวเองแล้ว
ฝ่ายสามีก็ลับมีดเหลาไม้ไผ่ปลายแหลมไว้หลายอัน วันต่อมาก็ชวนเมียเข้าป่าล่าสัตว์ เล็งธนูยิงเฉียดนางเมียหลายครั้ง จนนางเมียร้องเตือน
แต่ไม่ทันขาดคำลูกธนูดอกหนึ่งก็ปักท้องนางเสียชีวิต สามีนางผ่าท้องทันที
ลูกงูตัวเล็กตัวใหญ่หลากหลายพันธุ์พากันเลื้อยออกมาเต็มไปหมด แกใช้มีดฟันหัวงูขาดกระเด็น บางตัวเลื้อยหลบเข้า
ป่าได้
ทำให้งูพูดไม่ได้จนบัดนี้และมีตัวเล็กลงดังที่เห็นในปัจจุบัน เพราะมันไม่ได้คลอดตามกำหนด
ลูกช้างป่า
มีอยู่ปีหนึ่งเกิดการแห้งแล้งมาจนชาวบ้านอดยากไม่มีอะไรกิน
ทำหน้าก็ไม่ได้ข้าวชาวบ้านกันไปหาของกินในป่า ผู้หญิงคนหนึ่งหิวน้ำมากเพราะน้ำที่เอามาจากบ้านหมดก็เลยไปกินน้ำในแอ่งซึ่งเป็นน้ำที่ช้างป่าปัสสาวะไว้
หลายเดือนผ่านไปหญิงคนนั้นก็ตั้งท้อง
ผู้คนก็พากันสงสัยว่าเธอท้องกับใครในเมื่อสามีก็ตายไปหลายปีแล้ว
เหลืออยู่แต่ลูกชายคนเดียว พอถึงกำหนดนางก็คลอดลูกสาวออกมาและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่
เด็กๆในหมู่บ้านไม่ยอมเล่นด้วยและล้อเลียนว่าไม่ใช่ลูกคนเป็นลูกช้างป่า เด็กหญิงได้แต่ร้องไห้
ต่อมาได้ขอร้องพี่ชายให้พาไปหาพ่อที่เป็นช้างป่าพี่ชายต่างพ่อทนการรบร้าวของน้องสาวไม่ได้จึงพาไป
เด็กทั้งสองเดินทางเข้าป่าไปพบงู งูถามเด็กทั้งสองว่าจะไปไหน
เด็กบอกว่าจะไปตามหาพ่อ งูถามว่าพ่อเอ็งเป็นใคร เด็กตอบว่าเป็นช้างป่า งูก็ปล่อย เด็กทั้งสองเดินมาพบเสือๆ
ก็ถามเด็กว่าเจ้าทั้งสองคนจะไปไหนมาให้ฉันกินดีกว่า เด็กตอบว่าจะไปหาพ่อ
เสือถามว่าพ่อพวกเจ้าเป็นใคร เด็กตอบว่าเป็นช้างป่า โอ้!ช้างป่าหรือเป็นเพื่อนข้าเอง
เสือจึงปล่อยไป
เด็กเดินไปเรื่อยๆ จนเจอกับช้างป่าซึ่งเป็นพ่อ
ช้างป่าถามว่าจะไปไหน เด็กตอบว่ามาหาพ่อที่เป็นช้างป่า ท่านนั้นแหละเป็นพ่อของเรา
ช้างป่าไม่เชื่อแต่ก็บอกเด็กทั้งสองให้ไต่งวงแล้วขึ้นนั่งบนหลังคนละครั้ง
ถ้าเป็นลูกจริงต้องขึ้นนั่งบนหลังได้ เด็กชายขึ้นไม่ได้ ส่วนเด็กหญิงขึ้นบนหลังได้
ช้างป่าจึงนำเด็กไปเลี้ยงดูอย่างดีในป่า
ข้อคิดในนิทานเรื่องนี้ ความผูกพันของพ่อและลูก
และความกตัญญูของลูกที่ต้องการจะพบพ่อถึงแม้หนทางจะมีอันตรายเพียงใด
สาวกูยเลือกคู่
มีครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่มีลูกสาวสวยที่สุดในหมู่บ้าน
หนุ่มๆต่างพากันหมายปองและแอบชอบหลายคน
พ่อแม่เป็นห่วงลูกสาวกลัวจะเลือกคู่ได้ไม่ดี
จึงสอนลูกสาวว่าการจะเลือกชายหนุ่มมาเป็นคู่นั้นต้องดูหน้าตา
ผิวพรรณว่าหยาบกร้านหรือเปล่าถ้าผิวบางเนื้อเนียนจะเป็นคนสำอางเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไม่รู้จักทำมาหากิน
เอาแต่เที่ยวเตร่เฮฮา ต้องคนผิวกร้านมือกร้านจึงขยันขันแข็ง
สามารถดูแลครอบครัวได้ดี
มีชายหนุ่มในหมู่บ้านคนหนึ่งหลงรักหญิงสาวมาก
แต่เขาเป็นคนขี้เกียจผิวพรรณหน้าตาก็ไม่หยาบกร้านเขาจึงคิดกลอุบายต่างๆนานา วันหนึ่งเขาเอายางไม้มาชโลมตัวเพื่อให้ผิวพรรณและมือหยาบกร้าน
พอยางไม้แห้งแล้วเขาก็ไปบ้านสาวสวย
สาวจึงอยากลองดูว่ามือหยาบกร้านหรือเปล่าจึงมวนพลูให้ชายหนุ่ม ชายหนุ่มแบมือรับพลู
สาวมองมือเห็นหยาบกร้านก็คิดในใจว่า หนุ่มคนนี้คงขยันมากดูมือแล้วหยาบกร้านมาก
วันหนึ่งขณะที่สาวเดินมานั่งเล่นใต้ถุนบ้าน
ซึ่งสมัยก่อนชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมปอกนุ่นใส่กระสอบไว้
ตกเย็นพ่อแม่สาวกลับจากหาของป่าเห็นมีชายหนุ่มนั่งจีบลูกสาวรู้สึกไม่พอใจ
พ่อจึงเดินเขาไปผลักอกชายหนุ่มจนล้มลงในกองนุ่น
ทำให้ปุยนุ่นติดตามตัวชายหนุ่มเต็มไปหมด
เพราะความเหนียวของยางไม้พ่อแม่สาวเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าหนุ่มผู้นี้ตั้งใจมาหลอกลูกสาวตน
จึงพากันเอาไม้ไล่ตีจนชายหนุ่มวิ่งหนีเขาไปในดงหญ้าคา เมื่อเห็นว่าพ่อแม่หญิงสาวกลับไปแล้วก็ออกมาเพื่อกลับบ้าน
แต่ตัวเขามีดอกหญ้าคาและปุยนุ่นติดเต็มไปหมดทั้งตัว
เดินผ่านบ้านไหนก็ถูกสุนัขวิ่งไล่กัดไปตลอดทาง
ข้อคิดในนิทานเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่าทุกยุคทุกสมัยต่างมีค่านิยมให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัวเป็นกุลสตรีและผู้คนในอดีตจะเลือกคบคนที่นิสัยมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์
เขต 1. (2551). คู่มือการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. สุรินทร์ : เอกสารอัดสำเนา.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น