ตำนานสุรินทร์ 3 เรื่อง
ตำนานบ้านพระปืด
นานมาแล้วมีชาวกวยบ้านจอมพระไปขุดเผือกขุดมันในป่าแล้วมีตัวอะไรมาเลียแผ่นหลัง ชาวบ้านคนนั้นตกใจจึงขว้างเสียมไปถูกสัตว์นั้นวิ่งหนีไป มองไวๆ เห็นเป็นกวางขนทอง (บ้างเล่าว่ามีกระดิ่งทองผูกคอด้วย) จึงวิ่งตามไป หว่าเห็นแต่รอยเลือด เมื่อแกะรอยไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายหมู่บ้าน (เช่น บ้านซแรออร์) จนใกล้เที่ยงจึงหยุดกินข้าว (ต่อมาได้ชื่อ "บ้านฉันเพล") แล้วตามไปจนถึง "บ้านเมืองที" จากนั้นรอยเลือดนั้นก็หายไปบริเวณป่าแห่งหนึ่ง เขาก็ไม่ย่อท้อ สู้บุกฟันป่าเข้าไป ในที่สุดก็พบปราสาท เมื่อเห็นพระพุทธรูปที่อยู่ข้างใน เขาก็พลันร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า "เปรี๊ยะปืด! ๆๆ"เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เขาเห็นเลือดซึมออกมาจากพระชงฆ์ (แข้ง) ขวา จึงเชื่อว่ากวางทองก็คือพระพุทธรูปองค์นี้นั่นเอง
เปรียะปืด เป็นภาษากวย แปลว่า พระใหญ่ เชื่อกันว่าคำอุทานของชาวกวยนี่เองคือที่มาของชื่อหมู่บ้านพระปืด
ตำนานปราสาทสังข์ศิลป์ชัย
ณ เมืองหมื่นชัย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ
ปราสาทหมื่นชัย ต.กระเทียม
อ.สังขะ เรื่องเล่านั้นมีอยู่ว่า เมื่อก่อนนั้นมีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อกษัตริย์หมื่นชัย ทรงมีพระมเหสีหลายพระองค์
มเหสีเอกมีน้องสาวสวยมากแต่ถูกยักษ์ลักพาตัวไป ต่อมามเหสีเอกได้ให้กำเนิดพระโอรสออกมา
พร้อมกับถือคันธนูออกมาจากท้องแม่ด้วย จึงตั้งชื่อว่าสังข์ศิลป์ชัย
ภาษาเขมรเรียกสังข์ศรชัย มเหสีอีกองค์ก็คลอดลูกเช่นกัน แต่คลอดออกมาเป็นหอยสังข์ นางอับอายมากจึงเอาไปซ่อนไว้ในกอกล้วย
แต่ก็แอบไปดูบ่อยๆ ก็เห็นหอยเติบโตเองได้อย่างน่าอัศจรรย์
ต่อมาเมื่อพระโอรสทั้งสองโตขึ้นต่างก็เป็นคนมีฤทธิ์ทั้งคู่ ทั้งสังข์ศิลป์ชัยและเจ้าหอยสังข์มักแอบออกมาเล่นกันด้วยกันเสมอ
จนพระบิดาสังเกตเห็นและแน่ใจว่าลูกของตนเป็นคนมีฤทธิ์ทั้งคู่
จึงได้ให้ทั้งสองเดินทางไปช่วยน้าสาวที่ถูกยักษ์ลักตัวไป
ทั้งสองเดินทางไปเมืองยักษ์และได้ต่อสู้กับยักษ์จนได้รับชัยชนะ และพาน้าสาวกลับเมืองได้เป็นผลสำเร็จ
ต่อมาพวกยักษ์พยายามจะกลับมาแย่งตัวน้าสาวอีก ทั้งสองจึงเข้าต่อสู้
ยักษ์จึงหนีกลับเมืองไป จากนั้นทั้งสองจึงได้เป็นเล่นน้ำที่ห้วยสิงห์และปั้นรูปสิงห์เล่น
ปัจจุบันจึงเรียกบริเวณนั้นว่าห้วยสิงห์ เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อย
สังข์ศิลป์ชัยจึงได้พาน้องหอยสังข์มาสร้างปราสาทใหม่ อยู่ที่บ้านจารย์เรียกชื่อว่าปราสาทสังข์ศิลป์ชัยมาจนถึงปัจจุบัน
(เรื่องสังข์ศิลป์ชัยเป็นพระราชนิพนธ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทางเขมรก็มีบทร้อยกรองเรื่องนี้เหมือนกัน
เป็นเรื่องราวที่ยาวมาก)
ตำนานหลวงพ่อพระชีว์
เพรียะฮ์จี โล้กตาเพรียะฮ์จี โล้กตาประจี
หลวงพ่อพระชีว์
นามนี้มีที่มาจากภาษาขะแมร์
อันเป็นภาษาถิ่นของชาวสุรินทร์ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่พูดภาษาเขมรถิ่นไทยหรือภาษาขะแมร์สุรินทร์ ซึ่งแปลว่า
พระประธาน เพรียะฮ์ หมายถึง
พระ โล้กตา หมายถึง หลวงตา คำไทยใช้ว่า
หลวงพ่อ
เมื่อมีการเขียนชื่อเพรียะฮ์จี
โดยใช้ตัวอักษรไทย
จึงเพี้ยนเป็นพระชีว์
ตามตำนาน (เล่าโดยหลวงตาภู กมลบูรณ์
ตาทวดของผู้เขียน เกิดในราวปี พ.ศ. ๒๔๐๐
และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คุ้มวัดบูรพาราม)
กล่าวไว้ว่า เชียงปุม ผู้ครองเมืองสุรินทร์คนแรก
เมื่อได้บรรดาศักดิ์เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์ (ราวพ.ศ. ๒๓๒๙)
ได้วางผังเมืองโดยสร้างหลักเมืองและสร้างวัดกลางใจเมืองสุรินทร์
รวมทั้งจุดที่สำคัญๆ ด้วย แล้วปรารภว่าพระพุทธรูปที่ประดิษฐานตามวัดต่างๆ ที่สร้างขึ้นนั้นมีแต่องค์เล็กๆ ควรสร้างเพรียะฮ์จี “พระประธาน”
องค์ใหญ่ไว้คู่บ้านคู่เมืองให้สมกับเป็นเมืองที่มีฐานะเทียบเท่ากับเมืองพิมาย
จึงได้ระดมชาวบ้านให้ช่วยกันเสาะหาแหล่งที่มีดินเหนียวเนื้อละเอียดที่สามารถปั้นขึ้นรูปเป็นองค์พระได้ในที่สุดก็ได้ดินริมห้วยลำชี
ซึ่งมีเนื้อเหนียวและละเอียดตามต้องการ
แล้วระดมช่างฝีมือชาวขะแมร์ทำการปั้นขึ้นรูปเป็นองค์พระตามพุทธลักษณะแบบขอมสมัยนครธม หน้าตักกว้างประมาณ ๒ เมตร ๙ เซนติเมตร โดยใช้ไม้ซุงที่กลมเกลี้ยงวางเป็นแพรองรับองค์พระ
เมื่อปั้นเสร็จสมบูรณ์ก็เคลื่อนย้ายองค์พระเข้าสู่วัดที่อยู่ด้านตะวันออกของเมือง
(วัดบูรพาราม) ซึ่งอยู่ห่างจากห้วยลำชีราว ๑๔ กิโลเมตร จึงใช้แรงคนและช้างช่วยแผ้วถางทางให้ราบเรียบแล้วเคลื่อนองค์พระไปข้างหน้า
โดยนำซุงที่อยู่ส่วนท้ายของแพมาวางเรียงที่ส่วนหน้าไปเรื่อยๆ วันหนึ่งๆ
เคลื่อนไปได้ประมาณ ๒-๓ เส้น หรือราวๆ ๓๐
เมตร ต้องใช้เวลาเกือบ ๒ เดือน จึงเคลื่อนสู่ที่ประดิษฐาน
ได้สำเร็จและได้สร้างฐานชุกชีโดยใช้ดินเหนียวจากห้วยลำชีที่นำมาพร้อมองค์พระ
ปั้นเป็นฐานและประดิษฐานเพรียะฮ์จีติดกับฐานชุกชีอย่างถาวรตั้งแต่นั้นมา
เมื่อก่อนนั้นพระเนตรของเพรียะฮ์จีโตมาก เด็กๆ
ที่มาวิ่งเล่นในวัดบูรพารามทุกคนไม่มีใครกล้ามองโดยตรง บางคนถึงกับร้องให้จ้าเมื่อเห็นพระพักตร์ของเพรียะฮ์จี
ต่อมาหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จึงให้ช่างแก้ไขพระเนตรของเพรียะฮ์จีให้ได้ขนาดที่เหมาะสม ดังเช่นทุกวันนี้
ความศักดิ์สิทธิ์ของเพรียะฮ์จี มีเล่าขานต่อๆ กันมาว่ามีอานุภาพยิ่งนัก ดังเช่นเมื่อครั้งไฟไหม้กลางใจเมืองสุรินทร์
ไฟลุกโหมมาตามแรงลมเมื่อมาถึงกำแพงวัดบูรพาราม
ลมกลับเปลี่ยนทิศไปทางอื่น วัดบูรพารามจึงปลอดภัยจากไฟไหม้ครั้งนั้น
และใครก็ตามที่มาบนบานให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อได้แล้วกลับไม่แก้บน ก็จะมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เช่น เสียสติ
หรือเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์ต่างๆ
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์
เขต 1. (2551). คู่มือการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. สุรินทร์ : เอกสารอัดสำเนา.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น